มาร์ทีน บอร์มัน | |
---|---|
บอร์มันในฐานะ Reichsleiter, 1934 | |
รัฐมนตรีประจำพรรคฯ | |
ดำรงตำแหน่ง 30 เมษายน 1945 – 2 พฤษภาคม 1945 | |
ก่อนหน้า | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ในฐานะฟือเรอร์) |
ถัดไป | ยุบพรรค |
เลขาธิการส่วนตัวของฟือเรอร์ | |
ดำรงตำแหน่ง 12 เมษายน 1943 – 30 เมษายน 1945 | |
ฟือเรอร์ | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
Reichsministerที่ไม่มีผลงาน | |
ดำรงตำแหน่ง 29 พฤษภาคม 1941 – 30 เมษายน 1945 | |
หัวหน้ารัฐบาล | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
หัวหน้าสำนักงานพรรคนาซี | |
ดำรงตำแหน่ง 12 พฤษภาคม 1941 – 2 พฤษภาคม 1945 | |
ก่อนหน้า | รูด็อล์ฟ เฮ็ส (ในฐานะรองฟือเรอร์) |
ถัดไป | ยุบตำแหน่ง |
เลขาธิการของรองฟือเรอร์ | |
ดำรงตำแหน่ง 1 กรกฎาคม 1933 – 12 พฤษภาคม 1941 | |
รองฟือเรอร์ | รูด็อล์ฟ เฮ็ส |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | มาร์ทีน ลูทวิช บอร์มัน 17 มิถุนายน ค.ศ. 1900 เวเกอเลเบิน ปรัสเซีย จักรวรรดิเยอรมัน |
เสียชีวิต | 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 เบอร์ลิน นาซีเยอรมนี | (44 ปี)
สาเหตุการเสียชีวิต | ฆ่าตัวตายด้วยไฮโดรเจนไซยาไนด์ |
พรรคการเมือง | พรรคแรงงานชาติสังคมนิยมเยอรมัน |
คู่สมรส | แกร์ดา บูค (สมรส 1929) |
บุตร | 10 คน รวมมาร์ทีน อดอล์ฟ บอร์มัน |
บุพการี | Theodor Bormann (พ่อ) Antonie Bernhardine Mennong (แม่) |
ความสัมพันธ์ | วัลเทอร์ บูค (พ่อตา) |
รัฐบาล | คณะรัฐมนตรีฮิตเลอร์ |
ลายมือชื่อ | |
ชื่อเล่น | Brown Eminence |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
สังกัด | กองทัพบกเยอรมัน ชุทซ์ชตัฟเฟิล |
ประจำการ | 1918–1919 1927–1945 |
ยศ | นายกลุ่มเอก (Obergruppenführer) |
หน่วย | กรมทหารปืนใหญ่ภาคสนามที่ 55 |
หมายเลขประจำตัว | 278,267 (เอ็สเอ็ส) |
มาร์ทีน ลูทวิช บอร์มัน (เยอรมัน: Martin Ludwig Bormann; 17 มิถุนายน ค.ศ. 1900 – 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945) เป็นข้าราชการที่โดดเด่นในนาซีเยอรมนีในฐานะหัวหน้าของทำเนียบสำนักงานพรรคนาซี (Nazi Party Chancellery) เขาได้รับอำนาจอย่างมากมายโดยใช้ตำแหน่งของเขาในฐานะเลขานุการส่วนตัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เพื่อควบคุมการหลั่งไหลของข้อมูลข่าวสารและส่งมอบให้กับฮิตเลอร์ เขาได้รับสืบทอดจากฮิตเลอร์ในฐานะผู้นำของพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน หลังฮิตเลอร์กระทำอัตวินิบาตกรรม เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945
บอร์มันได้เข้าร่วมองค์กรกองกำลังกึ่งทหารคือ เหล่าทหารเสรี (Freikorps) ในปี ค.ศ. 1922 ในขณะที่กำลังทำงานเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เขาได้ทำหน้าที่เป็นเวลาเกือบปีในเรือนจำในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับเพื่อนของเขา รูด็อล์ฟ เฮิส (ต่อมาได้ผู้บัญชาการของค่ายกักกันเอาช์วิทซ์)ในการสังหาร Walther Kadow บอร์มันได้เข้าร่วมพรรคนาซีในปี ค.ศ. 1927 และชุทซ์ชตัฟเฟิล (เอ็สเอ็ส) ในปี ค.ศ. 1937 เขาได้ทำงานช่วงแรกในงานบริการประกันภัยของพรรค และย้ายไปอยู่ที่สำนักงานรองฟือเรอร์ รูด็อล์ฟ เฮ็สในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1933 ที่เขาได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของพนักงาน
บอร์มันได้ใช้ตำแหน่งของเขาเพื่อสร้างระบบราชการอย่างกว้างขวางและเกี่ยวข้องกับตัวเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในการตัดสินใจ เขาได้รับการยอมรับในวงภายในของฮิตเลอร์และพร้อมกับตัวเขาทุกๆที่,ที่ให้คำบรรยายสรุปและสรุปเหตุการณ์และการเรียกร้อง เขาได้เริ่มทำหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัวของฮิตเลอร์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1935 บอร์มันได้ยอมรับหน้าที่แต่เดิมของเฮ็สกับตำแหน่งผู้นำของทำเนียบสำนักงานพรรค ภายหลังจากเฮ็สได้บินเดี่ยวไปยังอังกฤษ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 เพื่อพยายามเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลอังกฤษ(แต่สุดท้ายถูกจับตัวเข้าคุก) เขาได้อนุมัติขั้นตอนสุดท้ายเกี่ยวกับการนัดหมายของข้าราชการพลเรือน, ที่ได้รับการพิจารณาและอนุมัติกฎหมายขึ้นมาใหม่ และในปี ค.ศ. 1943 ได้มีการควบคุมเรื่องต่างๆภายในประเทศโดยพฤตินัย บอร์มันได้เป็นหนึ่งในผู้นำที่ได้ประหัตประหารเหล่าชาวคริสเตียนอย่างต่อเนื่องและสนับสนุนในการสังหารต่อชาวยิวและชาวสลาฟในพื้นที่ที่ถูกพิชิตโดยเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
บอร์มันได้กลับมาพร้อมกับฮิตเลอร์ที่ฟือเรอร์บุงเคอร์ในกรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1945 ในขณะที่กองทัพแดงของโซเวียตได้รุกเข้าสู่เมือง หลังจากฮิตเลอร์ได้กระทำอัตวินิบาตกรรม บอร์มันและคนอื่นๆได้พยายามที่จะหลบหนีออกจากกรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมโดยโซเวียต ซึ่งบอร์มันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วบนสะพานที่อยู่ใกล้กับสถานี Lehrter ศพถูกฝังอยู่ใกล้ๆ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 แต่หาไม่พบและไม่มีการยืนยันว่าเป็นศพของบอร์มันจนกระทั่งปี ค.ศ. 1972 การชันสูตรศพได้รับการยืนยันแล้วในปี ค.ศ. 1998 โดยการตรวจดีเอ็นเอ บอร์มันได้ถูกนำมาพิจารณาคดีลับหลัง(in absentia)โดยศาลทหารระหว่างประเทศในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์คในปี ค.ศ. 1945 และ 1946 เขาได้ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและได้รับตัดสินโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอ
บอร์มันเกิดที่เวเกอเลเบิน (ปัจจุบันอยู่ในรัฐซัคเซิน-อันฮัลท์) ในราชอาณาจักรปรัสเซียของจักรวรรดิยเยอรมัน เขาเป็นบุตรของ Theodor Bormann (1862–1903) พนักงานไปรษณีย์ กับ Antonie Bernhardine Mennong ภรรยาคนที่สอง ครอบครัวของเขานับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเทอแรน Theodor เสียชีวิตตอนบอร์มันอายุ 3 ขวบ และแม่ของเขาก็แต่งงานใหม่
การเรียนที่โรงเรียนมัธยมด้านการค้าการเกษตรของบอร์มันถูกขัดจังหวะ เมื่อเขาเข้าร่วมกรมทหารปืนใหญ่สนามที่ 55 ในตำแหน่งมือปืนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1918 ในช่วงวันสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาไม่ได้เข้าสู้รบ แต่ทำหน้าที่รักษาการณ์จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 หลังทำงานในโรงงานผลิตอาหารสัตว์ได้ไม่นาน บอร์มันก็กลายเป็นผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์ของฟาร์มขนาดใหญ่ในรัฐเมคเลนบูร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เข้าร่วมสมาคมเจ้าของที่ดินที่ต่อต้านยิว
ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1924 บอร์มันถูกตัดสินจำคุก 1 ปีที่เรือนจำ Elisabethstrasse จากการสมรู้ร่วมคิดกับรูด็อล์ฟ เฮิสในการฆาตกรรม Walther Kadow เขาได้รับการปล่อยตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925
ใน ค.ศ. 1927 บอร์มันสมัครเข้าพรรคนาซี (NSDAP) โดยมีหมายเลขสมาชิก 60,508 เขาเข้าสมัครเป็นสมาชิกชุทซ์ชตัฟเฟิล (เอ็สเอ็ส) ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1937 พร้อมหมายเลขสมาชิก 278,267 ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ได้ผ่านคำสั่งพิเศษให้บอร์มันได้รับหมายเลขเอ็สเอ็สที่ 555 ใน ค.ศ. 1938 เพื่อสื่อถึงสถานะ Alter Kämpfer (นักรบรุ่นเก่า)
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1929 บอร์มันแต่งงานกับแกร์ดา บูคในวัย 19 ปี (23 ตุลาคม 1909 – 23 มีนาคม 1946), โดยที่พันตรี Walter Buch พ่อของเธอ ทำหน้าที่เป็นประธาน Untersuchung und Schlichtungs-Ausschuss (USCHLA; คณะกรรมการสอบสวนและเปรียบเทียบคดี) ซึ่งมีหน้าที่ระงับข้อพิพาทภายในพรรค ฮิตเลอร์เคยมาเยี่ยมบ้านบูคบ่อยครั้ง และบอร์มันน์ก็พบเขาที่นี่ ทั้งเฮ็สและฮิตเลอร์เป็นพยานในงานแต่งงาน บอร์มันก็มีภรรยาลับหลายคน ซึ่งรวม Manja Behrens นักแสดงสาวด้วย
มาร์ทีนกับแกร์ดามีลูก 10 คน:
หลังการโจมตีทางอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตร แกร์ดา บอร์มันกับลูก ๆ หลบหนีจาก Obersalzberg ไปยังอิตาลีในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1945 เธอเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1946 ที่เมราโน ประเทศอิตาลี ลูก ๆ ของบอร์มันรอดชีวิตและได้รับการดูแลในสถานที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้า มาร์ทีน ลูกชายคนแรก ได้เข้าบวชเป็นนักบวชประจำคริสต์จักรโรมันคาทอลิก และทำงานเป็นมิชชันนารีในทวีปแอฟริกา ภายหลังจึงสละความเป็นนักบวชและแต่งงาน
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม